ประมวลภาพ "ศาสนากับกระบวนการสร้างสันติภาพในอาเซียน"

ประมวลภาพโครงการสัมมนานานาชาติ เรื่อง "ศาสนากับกระบวนการสร้างสันติภาพในอาเซียน" ระหว่างวันที่ 17-18 กันยายน 2012 ณ โรงแรมเดอะสุโกศล (โรงแรมสยามซิตี้เดิม) กรุงเทพฯ และวันที่ 19 กันยายน 2012 ณ หอประชุมวันมูหะมัดนอนร์ มะทา

ข้อมูลสันติศึกษา : หนังสือ "อิสลาม ศาสนาแห่งสันติภาพ"

หนังสือ "อิสลามศาสนาแห่งสันติภาพ" เรียบเรียงโดย ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา อธิการบดีมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา เป็นหนังสือที่อธิบายมุมมองหลักของอิสลามว่าด้วยสันติภาพ ทั้งในแง่ของความเชื่อ หลักปฏิบัติ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ และประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมกับผู้ไม่ใช่มุสลิม

ข้อมูลสันติศึกษา : หนังสือ "ประชาชาติเดียวกัน"

บทวิเคราะห์แนวคิดการแตกเป็นกลุ่มต่างๆ ของประชาชาติมุสลิม และอธิบายจุดยืนของกลุ่มที่รอดพ้น (ฟิรเกาะฮฺ นาญิยะฮฺ) ต่อกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ ภายใต้กรอบของความเป็นประชาชาติเดียวกัน (อุมมะตัน วาหิดะฮฺ) อันจะนำไปสู่เอกภาพและสันติสุขของมนุษย์โลกทั้งผอง โดย ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา อธิการบดี มอย.

อัลบั้มภาพ : คาราวานบิ๊กไบค์ช่วยน้ำท่วม

รวมภาพกองคาราวานบิ๊กไบค์จากองค์กร IKRAM มาเลเซีย ยกทีมนำเงินบริจาคที่เรี่ยไรจากพี่น้องมุสลิมในมาเลเซียเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ผอ.อัสสลาม เป็นตัวแทนรับมอบ เมื่อ 10-12-2011

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

ฝ่ายสาธารณสุขฯ อัสสลามจัดโครงการอบรมจิตอาสาบุคลากร สธ. (21 เม.ย. 2012)

ฝ่ายสาธารณสุขและส่งเสริมสิ่งแวดล้อม สถาบันอัสสลาม จัดโครงการบริการจิตอาสา เสียสละ : พลังแห่งการสร้างสรรค์สังคม โดยได้จัด ครั้งที่ 1 เมื่อวันที 18 ธันวาคม 2554 ณ ห้องประชุมอัลฟาฏอนี วิทยาลัยอิสลามศีกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ปัตตานี ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2555 ณ ห้องประชุมโรงพยาบาลศูนย์ยะลา ครั้งที่ 3 เมื่อวันที 21 เมษายน 2555 ณ ห้องประชุมใบไม้สีทอง โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์

 

 


ข่าวโดย ผอ.อัสสลาม
ดูภาพเพิ่มเติมในอัลบั้มนี้ คลิกที่นี่ !

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

ประชุมหุจญาตตัวแทน มอย. ปี ฮ.ศ.1433


เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2012 สถาบันอัสสลาม มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ได้นัดประชุมหุจญาต ที่ผ่านการคัดเลือกจากตัวแทน คณาจารย์ บุคลากร และประชาชนทั่วไป ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารสำนักงานอธิการบดี โดยมีนายอิสมาแอลอาลี สาเร๊ะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันอัสสลามฝ่ายบริหาร เป็นผู้ชี้แจงทำความเข้าใจถึงกระบวนการขั้นตอนและการเตรียมตัวต่างๆ สำหรับการเดินทางไปประกอบพิธีหัจญ์ ณ นครมักกะฮฺ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ในปี ฮ.ศ. 1433 นี้




ภาพข่าวโดย อับดุลเลาะ ตีซา
จนท.ฝ่ายบริหารและแผน สถาบันอัสสลาม

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

ไม่มีการบังคับ คือ แก่นแท้แห่งสาสน์อิสลาม


มวลการสรรเสริญเป็นอภิสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ผู้ทรงประทานบรรดาศาสนทูตเพื่อทำหน้าที่ปลดปล่อยมวลมนุษย์ให้หลุดพ้นจาก วังวนวัฏจักรแห่งความหวาดกลัว พระองค์ทรงทำให้มนุษย์ได้รับอิสระจากการถูกบังคับและการยกย่องบูชามนุษย์ ด้วยกัน ทั้งนี้เนื่องจากความหายนะและความชั่วร้ายในชีวิตมนุษย์โดยส่วนใหญ่แล้ว ล้วนมีสาเหตุจากการที่มนุษย์พยายามใช้อำนาจบังคับขู่เข็ญเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ตราบใดที่ไม่สามารถยับยั้งสกัดกั้นการบีบบังคับและการยกย่องบูชามนุษย์ด้วยกัน ตลอดจนการนับถือพระเจ้าอันจอมปลอม และตราบใดที่ไม่สามารถปลดปล่อยมนุษย์ให้มีความอิสรเสรีในการเลือกวิถีชีวิต และความต้องการอันแท้จริงของตนเองแล้ว มนุษย์ก็ต้องประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง สังคมก็จะมีแต่ความวุ่นวาย ด้วยเหตุดังกล่าว ภารกิจสำคัญของบรรดา ศาสนทูตก็คือการปลดปล่อยมวลมนุษย์ให้หลุดพ้นจากพันธนาการการเคารพบูชามนุษย์ ด้วยกันสู่การเคารพบูชาอัลลอฮฺผู้ทรงเอกา ทั้งนี้เนื่องจากการศรัทธาและการยอมจำนนในอำนาจแห่งอัลลอฮฺเพียงพระองค์ เดียว ทำให้มนุษย์ใช้ชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน ทุกคนมีสิทธิและหน้าที่อย่างเสมอภาคโดยปราศจากอภิสิทธิ์และกฎกติกาต่าง ๆ ที่กำหนดโดยมนุษย์ด้วยกันเอง

สัญชาตญาณอันดั้งเดิมของมนุษย์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือ มนุษย์มีความต้องการศาสนาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ผู้ที่ศึกษาอารยธรรมของมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัยจะพบว่า มนุษย์ในบางสังคมหรือบางช่วงเวลาอาจจะไม่มีโรงงาน สถาบันการศึกษา บริษัท โรงพยาบาลหรือแม้แต่บ้านที่ใช้เป็นที่พักพิง แต่ไม่เคยปรากฏในสังคมมนุษย์ที่ใช้ชีวิตโดยปราศจากหอสวด ศาลเจ้า สถานศักดิ์สิทธิ์หรือสัญลักษณ์ของความเชื่อที่มีการเรียกขานด้วยชื่อต่าง ๆ ตามความศรัทธาของแต่ละสังคม จึงสรุปได้ว่า มนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตได้หากปราศจากศาสนาและไม่ศรัทธาในพระเจ้า ผู้ที่ปฏิเสธแนวคิดความเชื่อในพระเจ้า แท้จริงแล้วบุคคลนั้นกำลังสร้างศาสนาใหม่และสถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าแทน

พรอันประเสริฐและสันติสุขจนมีแด่ท่านศาสนทูตคนสุดท้ายมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) บุคคลผู้ใดที่ศรัทธาต่อท่าน ย่อมแสดงว่าผู้นั้นได้ศรัทธาเหล่าศาสนทูตยุคก่อนทั้งมวล ดังอัลกุรอาน กล่าวไว้ว่า

مَّا كَانَ مُحَمَّدٌ أَبَا أَحَدٍ مِّن رِّجَالِكُمْ وَلَكِن رَّسُولَ اللَّهِ وَخَاتَمَ النَّبِيِّينَ (الأحزاب/40)

ความว่า : มูฮัมมัดมิได้เป็นบิดาผู้ใดในหมู่ของพวกเจ้า แต่เป็นรอซูลของอัลลอฮฺ และคนสุดท้ายแห่งบรรดานบี (33 / 40)

อัลลอฮฺได้ทรงประทานศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เพื่อธำรงไว้ซึ่งความกรุณาปรานีแก่สากลจักรวาล ดังที่อัลลอฮฺทรงกล่าวไว้ว่า

وَمَا أَرْسَلْنَاكَ إِلَّا رَحْمَةً لِّلْعَالَمِينَ (الأنبياء/107)

ความว่า : และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่สากลจักรวาล (21 / 107)

และเพื่อยืนยันในสัจธรรมดังกล่าวศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวแก่ตนเองความว่า “ ฉันคือความเมตตาที่เป็นของขวัญจากพระเจ้าที่มอบให้กับสรรพสิ่งทั้งหลาย ” (รายงานโดย )

ส่วนหนึ่งของความกรุณาปรานีของอัลลอฮฺที่มีต่อมนุษย์คือ การให้โอกาสแก่มนุษย์มีสิทธิเลือกและกำหนดวิถีชีวิตตามความประสงค์ของตนเอง

มนุษย์ โดยสภาวะดั้งเดิม คือ สิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐสุดและมีเกียรติยิ่ง แม้นว่าจะแตกต่างด้านสีผิว ชาติพันธุ์ ภาษาและฐานะทางสังคม อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า

وَلَقَدْ كَرَّمْنَا بَنِي آدَمَ وَحَمَلْنَاهُمْ فِي الْبَرِّ وَالْبَحْرِ وَرَزَقْنَاهُم مِّنَ الطَّيِّبَاتِ وَفَضَّلْنَاهُمْ عَلَى كَثِيرٍ مِّمَّنْ خَلَقْنَا تَفْضِيلاً (الإسراء/70)

ความว่า : และ โดยแน่นอน เราได้ให้เกียรติแก่ลูกหลานของอาดัม และเราได้บรรทุกพวกเขาทั้งทางบกและทางทะเล และได้ให้ปัจจัยยังชีพที่ดีทั้งหลายแก่พวกเขา และเราได้ให้พวกเขาดีเด่นอย่างมีเกียรติเหนือกว่าผู้ที่เราได้ให้บังเกิดมา เป็นส่วนใหญ่ (17/70)

มนุษย์เป็นมัคลูก (สิ่งถูกสร้าง) ที่มีสติปัญญา มีเป้าหมายแห่งชีวิต เป็นมัคลูกที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ถูกกำหนดไว้ มนุษย์มีสถานะและบทบาทอันทรงเกียรติยิ่ง เขาจะต้องถูกสอบสวนในการปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นในวันอาคีเราะฮฺ(โลกหน้า) มนุษย์มีสิทธิ์เลือกที่จะกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์มีความพร้อมที่จะกระทำสิ่งดีและไม่ดี มนุษย์จึงไม่ใช่มะลาอิกะฮฺ (เหล่าเทวทูต) ที่อัลลอฮฺทรงสร้างขึ้นเพื่อให้กระทำแต่เพียงความดี เนื่องจากมะลาอิกะฮฺเป็นมัคลูกที่ไม่มีอารมณ์และปราศจากความต้องการ แต่ในขณะเดียวกัน มนุษย์ก็มิใช่ชัยฏอน (เหล่ามารร้าย) ที่หมกมุ่นปฏิบัติแต่เพียงความชั่วร้ายและสิ่งอบายมุขทั้งมวล

อัล ลอฮฺได้ทรงทำให้มนุษย์รู้จักกำหนดวิถีชีวิตด้วยอาศัยการเรียนรู้และการพัฒนา อัลลอฮฺทรงแนะนำและส่งเสริมให้มนุษย์กระทำคุณงามความดี พระองค์ทรงตักเตือน และห้ามปรามมิให้มนุษย์จมปลักในความชั่วร้าย อัลลอฮฺทรงกล่าวไว้ว่า

وَهَدَيْنَاهُ النَّجْدَيْنِ (البلد/10)

ความว่า : และเราได้ชี้แนะทางแห่งความดี และความชั่วแก่เขาแล้ว (90 /10)

อัลลอฮฺจึงให้มนุษย์มีความรับผิดชอบต่อผลของการเลือกของเขา ทั้งนี้เพราะความรับผิดชอบเป็นส่วนหนึ่งของเสรีภาพ หากปราศจากเสรีภาพ ความรับผิดชอบก็จะไร้ความหมาย

ด้วยเหตุที่มนุษย์มี อิสรภาพ รู้จักแสวงหาและสะสมความรู้และประสบการณ์ มีศักยภาพในการตัดสินว่าสิ่งใดถูกและสิ่งใดผิด ตลอดจนมีโอกาสในการแก้ตัว ปรับปรุงและขอลุแก่โทษในความผิดพลาดทั้งปวง มนุษย์จึงมีฐานะที่สูงส่งกว่าสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย และสิ่งเหล่านี้คือ เหตุผลสำคัญที่ทำให้บรรดามะลาอิกะฮฺ (เหล่าเทวทูต) ยอมสุญูด (ก้มคารวะ) เพื่อแสดงความเคารพนับถือต่ออาดัม ดังปรากฏในประวัติศาสตร์ที่บันทึกโดยอัลกุรอาน[1]

มุสลิมทุกคนจึงมีหน้าที่สืบทอดภารกิจของเหล่าศาสนทูตด้วยการให้เกียรติในศักดิ์ศรี ของความเป็นมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีอิสรเสรี และคืนศักดิ์ศรีอันเหมาะสมกับสถานะและบทบาทอันแท้จริงแก่เขา มุสลิมทุกคนต้องใช้ความพยายามอันแรงกล้าในการชี้แจงความถูกต้องและสัจธรรม ตักเตือนมิให้กระทำสิ่งชั่วร้าย แต่ทั้งนี้มุสลิมพึงสำนึกว่า มนุษย์มีสิทธิ์เต็มที่ในการเลือกทางเดินชีวิตของตนเอง การบังคับมนุษย์ด้วยกันถือเป็นการลดศักดิ์ศรีและไม่ให้เกียรติกัน ด้วยเหตุดังกล่าวอิสลามจึงกำหนดให้มุสลิมประกาศญีฮาด (การต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสกัดกั้นการแพร่ขยายของฟิตนะฮฺ(การกดขี่บังคับมิให้ ปฏิบัติตามศาสนา) ดังอัลลอฮฺทรงกล่าวไว้ว่า

وَقَاتِلُوهُمْ حَتَّى لاَ تَكُونَ فِتْنَةٌ (البقرة : 193)

ความว่า : และจงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าฟิตนะฮฺจะไม่ปรากฏขึ้น (2 / 193)

ฟิตนะฮฺตามความหมายอันแท้จริงคือ การบังคับมิให้มนุษย์มีสิทธิปฏิบัติหรือเชื่อศรัทธาในสิ่งที่เป็นความต้องการของเขา และการปิดโอกาสมิให้เขามีสิทธิเลือกกระทำตามที่เขาต้องการ ด้วยเหตุดังกล่าว อิสลามถือว่า การกระทำฟิตนะฮฺต่อมนุษย์ มีผลกระทบที่ร้ายแรงยิ่งกว่าการฆาตรกรรม ทั้งนี้เพราะฆาตรกรรมเป็นการปลิดชีวิตที่เป็นกายภาพ แต่การกระทำฟิตนะฮฺถือเป็นอาชญากรรมด้านความรู้สึกและจิตใจ อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า

وَالْفِتْنَةُ أَكْبَرُ مِنَ الْقَتْلِ (البقرة/217)

ความว่า : และการฟิตนะฮฺนั้นใหญ่โตยิ่งกว่าการฆ่า (2/217)

บรรดานักวิชาการมุสลิมต่างเห็นพ้องว่า สงครามระหว่างมุสลิมกับชนต่าง ศาสนิกนั้นเกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขัดขวางความอยุติธรรมและตอบโต้การ รุกราน มิใช่เพราะชนต่างศาสนิกไม่นับถืออิสลามหรือไม่ศรัทธาในพระเจ้า นอกจากนั้นสงครามในอิสลามมีเป้าหมายเพื่อปลดปล่อยมวลมนุษย์ให้หลุดพ้นจากการ กดขี่ข่มเหง เรียกร้องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ตลอดจนสร้างบรรยากาศการเผยแผ่อิสลามให้ดำเนินไปในภาวะที่ไร้ความกดดัน

ด้วยเหตุดังกล่าว มุสลิมต้องมีภารกิจในการรังสรรค์บุคลิกภาพมุสลิมให้มีความอิสรเสรีในการ เลือกศรัทธาตามความเชื่อของแต่ละคน เปิดโอกาสให้มีการเผยแผ่อิสลามแก่มวลมนุษย์ ให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ด้วยการสร้างบรรยากาศแห่งความอิสรเสรีในการกำหนดทาง เลือกของชีวิต เผยแผ่ความเมตตาแก่สากลจักรวาลด้วยการธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ตอบโต้ความอยุติธรรมและการสร้างความหายนะตลอดจนการล่วงละเมิดทั้งปวง พร้อมทั้งยอมรับความแตกต่างของสังคมมนุษย์ ดังที่อัลลอฮฺได้กล่าวว่า

وَلَوْ شَاء رَبُّكَ لَجَعَلَ النَّاسَ أُمَّةً وَاحِدَةً وَلاَ يَزَالُونَ مُخْتَلِفِينَ (هود : 118)

ความว่า : และ หากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์จะทรงให้ปวงมนุษย์เป็นประชาชาติเดียวกัน (โดยการทำให้มนุษย์ทั้งหมดศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และอยู่ในแนวทางอิสลาม) แต่พวกเขาก็ยังคงแตกแยกกัน (11/ 118)

มุสลิมทุกคนต้องลุกขึ้นปฏิบัติภารกิจในการแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่างของมวลมนุษย์ หลีกเลี่ยงการทุ่มเทความพยายามพละกำลังและศักยภาพ เพียงเพื่อสร้างความแตกแยกและจุดชนวนสงคราม สู่การใช้ชีวิตร่วมกันบนรากฐานแห่งการสร้างความรู้จักความเข้าใจ ความช่วยเหลือ เอื้ออาทร สานเสวนา ดังที่อัลกุรอานได้กล่าวไว้ว่า

يَا أَيُّهَا النَّاسُ إِنَّا خَلَقْنَاكُم مِّن ذَكَرٍ وَأُنثَى وَجَعَلْنَاكُمْ شُعُوباً وَقَبَائِلَ لِتَعَارَفُوا (الحجرات/13)

ความว่า : โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราสร้างพวกเจ้าจากเพศชายและเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่าและตระกูลเพื่อจะได้สร้างความรู้จักกัน (49/13)

ทั้งนี้เนื่องจากความอิสรเสรี การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีตลอดจนการสานเสวนานับเป็นการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อ การแผ่ขยายของสาสน์อิสลาม และเปิดโอกาสให้มีการนำใช้สติปัญญาอันบริสุทธิ์ ความแตกต่างและความหลากหลายแทนที่จะเป็นชนวนแห่งความขัดแย้ง กลับกลายเป็นบ่อเกิดแห่งความโปรดปราน เป็นเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเพิ่มพูนศักยภาพของมนุษยชาติใน ดำเนินชีวิตร่วมกันอย่างมีประโยชน์และคุ้มค่า

ถึงแม้มนุษย์จะรักกันและชอบพอหรือเป็นศัตรูและเกลียดชังระหว่างกัน แต่ในทัศนะอิสลามแล้ว ถือว่ามนุษย์ทั้งมวลคือพี่น้องกัน มนุษย์จึงไม่ใช่หมาป่าที่คอยคำรามขบกัดระหว่างกันตามที่ปรากฏในคำสอนของ ลัทธิชาตินิยมที่เป็นแหล่งอ้างอิงของสำนักคิดสุดโต่งและทฤษฎีการเมือง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่พยายามวางก้ามใช้อำนาจและอิทธิพล เพื่อกดขี่ข่มเหงเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

อิสลามถือว่า มนุษย์มีรากเหง้าที่มาจากบรรพบุรุษคนเดียวกัน ความหลากหลายถือเป็นกฎดั้งเดิมของอัลลอฮฺพระผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง ความแตกต่างด้านภูมิศาสตร์ ประชากรศาสตร์ ชาติพันธุ์ ความเชื่อและศาสนา ถือเป็นแนวทางสู่การรังสรรค์ ความช่วยเหลือ การทำความรู้จัก สานเสวนาและสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ทั้งนี้ความพยายามที่จะทำให้มนุษย์มีความคล้ายคลึงกันในทุกประการเสมือน เอกสารถ่ายสำเนาจากต้นฉบับอันเดียวกันนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ทั้งทางด้านสติปัญญาและข้อเท็จจริง เพราะจะทำให้การมีชีวิตไร้ความหมาย ความต้องการ ความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยานจะหยุดชะงัก และการสร้างความเจริญตลอดจนการพัฒนาด้านต่าง ๆ ก็จะกลายเป็นอำพาต อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า

وَلَوْ شَاء رَبُّكَ لَجَعَلَ النَّاسَ أُمَّةً وَاحِدَةً وَلاَ يَزَالُونَ مُخْتَلِفِينَ (هود : 118)

ความว่า : และหากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์ทรงทำให้ปวงมนุษย์เป็นประชาชาติเดียวกัน แต่พวกเขาก็ยังคงแตกแยกกัน (11/118)

---------------
จากงานเขียนของท่านเชค อุมัร อุบัยด์ หะสะนะฮฺ 
กรรมการสภามหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
แปลโดย อ. มัสลัน มาหะมะ

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

สถาบันอัสสลามจัดโครงการพัฒนาประชาสังคมเพื่อการส่งเสริมจริยธรรมแก่เยาวชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 26-29 มี.ค. 2012

เมื่อวันที่ 26-29 มีนาคม 2555 สถาบันภาษานานาชาติ ร่วมกับ สถาบันอัสสลาม มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ได้จัดโครงการพัฒนาประชาสังคมเพื่อการส่งเสริมจริยธรรมแก่เยาวชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ จังหวัดสงขลาและสุราษฎร์ธานี โดยมีผู้เข้าร่วมจาก 3 ศาสนา ประกอบด้วย พุทธ คริสต์ และอิสลาม จำนวน 60 คน มาจากสถาบันการศึกษาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมพหุวัฒนธรรมด้าน การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และประวัติศาสตร์โดยใช้โครงสร้างของกลุ่มชน (Ethnicity) เชื้อชาติ (Race) และ ศาสนา (Religion) 

ภายในโครงการประกอบด้วยกิจกรรมการเรียนรู้วิถีชุมชนของแต่ละศาสนา อาทิ การเยี่ยมชุมชนมุสลิมมัสยิดบ้านเหนือ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา, ชุมชนหมู่บ้านทับคริสต์ อ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี และ สวนโมกข์ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี 

การจัดโครงการในครั้งนี้ทำให้น้องๆ ที่เข้าร่วมโครงการเกิดความเข้าใจกันมากขึ้นว่าศาสนาไม่ใช่ปัญหาในการอยู่ร่วมกัน และได้เห็นความสำคัญว่าเยาวชนคือต้นกล้าใหม่ที่จะมีบทบาทในการรังสรรค์สังคมแห่งสันติภาพต่อไป




ดูอัลบั้มภาพเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย!
ภาพข่าวโดย อับดุลเลาะ ตีซา
จนท.ฝ่ายบริหารและแผน สถาบันอัสสลาม